วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Black Sabbath



       Black Sabbath มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาวงการเพลงเฮฟวีเมตัล รวมถึงยังเป็นผู้คิดค้นสไตล์เพลงแบบนี้อีกด้วย Black Sabbath ได้นำเอากลิ่นไอบลูส์ร็อคของวงในปลายยุค 60 อย่างเช่น Cream, Blue Cheer, และ Vanilla Fudge มาใส่ในงานของพวกเขา ด้วยจังหวะที่ช้าลง แต่เบสไลน์ที่โดดเด่น โซโล่กีตาร์กระชากใจ บวกกับเสียงร้องที่โหยหวน เนื้อร้องที่เต็มไปด้วยการแสดงออกถึงอารมณ์ ความเจ็บปวดทรมาน และจินตนาการอันน่ากลัว และถ้าก่อนหน้านี้มีวงดนตรีอื่นที่ทำผลงานออกมาในแนวบลูส์ วง Black Sabbath ก็ทำงานเพลงที่แหวกแนวขึ้นไปอีก และยังก่อให้เกิดแนวเพลงในทิศทางใหม่ๆที่เรียกความสนใจจากแฟนเพลงนับล้านคนในเวลาต่อมา

       วงประกอบด้วยเด็กหนุ่มสามคนจาก Aston ใกล้กับ Birmingham ประเทศอังกฤษ: Anthony หรือ Tony Lommi มือกีตาร์ (เกิดเมื่อ 19 กพ.1948), William Bill Ward มือกลอง (เกิดเมื่อ 5 พค. 1948) และ John Ozzy Osbourne นักร้องนำ (เกิดเมื่อ 3 ธันวาคม 1948) และ Terence "Geezer" Butler มือเบส (เกิดเมื่อ 17 กค.1949)  พวกเขาเรียกวงแนวบลูส์แจ๊สของตัวเองว่า Polka Tulk และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Earth ต้นปี 1969 เมื่อออกแสดงทั่วยุโรปแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวง เนื่องจากพบว่าพวกเขาถูกจำสับสนกับวงดนตรีที่ชื่อ Earth เช่นกัน Butler เขียนเพลงที่นำชื่อเพลงมาจาก นวนิยายลึกลับของ Dennis Wheatley ชื่อว่า Black Sabbath และนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อวงอีกด้วย

       เมื่อพวกเขาออกแสดงสด ค่ายเพลงหลายค่ายแสดงความสนใจ และพวกเขาตกลงเซ็นสัญญากับค่าย Phillips Record ในปี 1969  เดือนมกราคม ปี 1970 สังกัดย่อยของค่าย Phillips ที่ชื่อ Fontana ได้ออกซิงเกิ้ล Evil Woman (Don't Play Your Games With Me) เป็นเพลงคัฟเวอร์เพลงฮิตในอเมริกาแต่ก็ไม่ติดชาร์ต ในเดือนต่อมา สังกัดอื่นของค่าย Phillips อย่าง Vertigo ได้ปล่อยอัลบั้มที่ใช้ชื่อวง Black Sabbath และเป็นอัลบั้มที่ขึ้นสู่ UK ท๊อปเท็น ถึงแม้ว่าอัลบั้มนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างทันทีในอเมริกา ที่ที่วงออกอัลบั้มกับค่าย Warner Bros. Records และออกวางตลาดในเดือนพฤษภาคม 1970 และเข้าสู่อเมริกันชาร์ตในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน และไต่ขึ้นสู่อันดับในชาร์ตท็อปโฟร์ตี้ และอยู่ในชาร์ตนานเป็นปี รวมทั้งยังขายได้กว่าล้านก๊อปปี้
      
        การปรากฏตัวของพวกเขาเริ่มขึ้นเมื่อยุค70, Black Sabbath รวมเอาความโดดเด่นของเพลงป๊อปในกลางยุค 60 มาไว้เข้าด้วยกัน การได้รับแบบอย่างจาก Beatles และการได้รับแง่มุมต่างๆจากแนวเพลงป๊อป รวมเป็นแนวเพลงแบบอิเลคทริคสไตล์ ที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
The Beatles ใช้แนวเพลงแบบอะคูสติกบัลลาร์ด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากฮาร์ดร็อค หรือ อาร์แอนด์บี อย่างไรก็ตามในต้นยุค 70 สไตล์เพลงแบบนี้ก็กลายเป็นต้นแบบให้กับศิลปินรุ่นใหม่ กับแนวเพลงซอฟร็อค อย่างเช่น James Taylor และ the Carpenters พัฒนาการเล่นเฉพาะแนวบัลลาร์ด  รวมถึงศิลปินร็อคอย่าง Led Zeppelin และ Grand Funk Railroad  ใช้แนวเพลงที่ฉีกแนวออกไป ในนณะที่เพลงอาร์แอนด์บีมีกระแสที่รุนแรงมากขึ้น

       การเปลี่ยนแปลงของวงการร็อคครั้งแรกได้เข้ามาแทนที่ The Beatles ซึ่งมิได้มีการพัฒนาเพลงของพวกเขาเลย และการแสดงที่แย่ลง แต่ยังคงได้รับการกล่าวขวัญถึงชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ Black Sabbath ทำงานที่หนักแน่นมากกว่าที่จะใช้แนวเพลงโฟล์คบลูส์อย่าง Led Zeppelin ซึ่งถูกวิภาควิจารณ์อย่างหนัก (และแม้นักวิจารณ์จะสงบศึกกับ Zeppelinแล้ว แต่ Sabbath ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ) แต่ทางวงก็ได้สร้างแฟนเพลงของตัวเองสำหรับงานเพลงที่ยังไม่ได้รับการยอมรับของพวกเขา

       Black Sabbath ออกงานชุดที่สองในเวลาอันรวดเร็ว ชื่ออัลบั้ม Paranoid ในเดือนกันยายนปี 1970 เพลงเดียวกับชื่ออัลบั้มเป็นซิงเกิ้ลแรกที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้างานของ LP และขึ้นสู่ท็อปไฟฟ์ใน UK ชาร์ต และอัลบั้มนี้ก็ขึ้นสู่อันดับหนึ่ง

       ในอเมริกา ที่ที่อัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางตลาด อัลบั้ม Paranoid ถูกปล่อยออกมาในเดือนมกราคม 1971 และเพลงเดียวกันกับชื่ออัลบั้มก็เข้าสู่ชาร์ตในเดือนพฤศจิกายน และอัลบั้มก็เข้าสู่ท็อปเท็นในเดือนมีนาคม ปี 1971 และติดอยู่ในชาร์ตนานนับปี และขายได้มากกว่าสี่ล้านแผ่น ความพยายามที่จะเป็นเบสเซลลิ่ง ( พวกเขากระตุ้นยอดขายโดย ปล่อยเพลง Iron Man ออกมาทีหลัง เป็นซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาในอเมริกาตอนต้นปี 1972 การขึ้นสู่อันดับที่ 45 ซึ่งเกือบจะมาถึงครึ่งทางของชาร์ตเป็นการแสดงถึงความสำเร็จในอเมริกาของพวกเขา)

       Master Of Reality เป็นอัลบั้มที่สามที่ออกมาในเดือนสิงหาคมปี 1971 และขึ้นสู่อันดับท็อปเท็นทั้งสองฝั่งของ Atlantic และขายได้มากกว่าล้านแผ่น  Black Sabbath อัลบั้มที่สี่ (กันยายน 1972) เป็นอีกหนึ่งงานที่เข้าสู่อันดันท็อปเท็นของอัลบั้มที่มียอดขายถึงล้านแผ่น สำหรับอัลบั้ม Sabbath Bloody Sabbath (พฤศจิกายน 1973) ทางวงได้มือคีร์บอร์ดของวง Yes คือ Rick Wakeman มาเล่นให้หนึ่งเพลง เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับทิศทางเพลง ทำให้งานเพลงชุดที่ 5 นี้ขึ้นสู่ท็อปเท็นอัลบั้มที่ขายได้กว่าล้านแผ่น

       อัลบั้ม Technical Ecstasy (เดือนตุลาคม ปี 1976) ซึ่งได้นำความคิดของ Lommi มาใช้ทำให้งานออกมาค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ถึงกับดีที่สุดสำหรับยอดขาย ความพอใจของ Osbourne ส่งผลให้เขาออกจากวงในเดือนพฤศจิกายน 1977 วงก็ได้หานักร้องมาแทน Savoy Brown นักร้องของ Dave Walker และกลับมาอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 1978

       Black Sabbath บันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 8, Never Say Die! (เดือนกันยายน 1978) เพลงเดียวกับชื่ออัลบั้มเข้าสู่อันดับที่ 40 ของ UK. ชาร์ตก่อนที่งานของ LP จะถูกปล่อยออกมา และเพลง Hard Road ก็เข้าสู่อันดับที่ 40 หลังจากนั้น แต่ซิงเกิ้ลนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในทางการค้าเพราะเป็นงานที่เรียบง่ายไม่โดดเด่น บวกกับการที่นักร้องนำอย่าง Osbourne ออกไปทำงานเดี่ยว และได้คนมาแทนจากวง Rainbow อย่าง Ronnie James Dio (เกิดเมื่อ 10 มิถุนายน 1949) (และระหว่างนี้ มือคีย์บอร์ดอย่าง Geoff Nichols ก็ร่วมแสดงและบันทึกเสียงกับวงจนกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงในที่สุด


       การกลับมารวมตัวของสมาชิกดั้งเดิมเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ 2-3 ปีก่อน เพื่อออกทัวร์คอนเสิร์ตที่  Ozzfest ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มของแฟนเพลงเป็นอย่างมาก และการผลงานเพลงคลาสสิคของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด



หน้าปกอัลบั้ม Master of Reality
อัลบั้ม: Master of Reality

TRACKLISTING :
1. Sweet Leaf
2. After Forever
3. Embyro
4. Children Of The Grave
5. Orchid
6. Lord Of This World
7. Solitude
8. Into The Void



- อัลบัมที่สามของ Black Sabbath (แบล๊ก ซับบาธ) เป็นเวลาเดียวกับที่พวกเขากำลังโด่งดังสุดขีด ยิ่งในอัลบัมมีเพลงอย่าง Sweet Leaf ที่นอกจากเสียงกีตาร์ที่ต่ำได้อย่างน่าสยองขวัญแล้ว ท่วงทำนองยังสื่อถึงความน่ากลัวที่ยากจะลืม (เป็นเพลงที่วงเดธเมตัลจากนิวยอร์คอย่าง Cannibal Corpse นำไปคัฟเวอร์มาแล้ว) อีกเพลงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Children Of The Grave ริฟฟ์กีตาร์ในท่อนอินโทรบ่งบอกถึงรากเหง้าของริฟฟ์สไตล์เมตัลได้อย่างชัดเจนที่สุด เรียกว่าฟังทีแรกก็หลงรักได้ในทันทีเลยสำหรับผู้ที่ชอบฟังเมตัล Lord Of This World, Solitude, Into The Void ทรงพลังและความคลาสสิคในทุกท่วงทำนอง ถ้าไม่บอกว่าอัลบัมนี้เป็นของคลาสสิคของชาวเมตัลอีกก็คงจะน่าเกลียด เพราะทุกบทเพลงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างเพลงในแบบของเมตัลโดยแท้ และแน่นอนมันคือของแสลงของเมตัลพันทางที่ไม่นิยมงานเมตัลต้นแบบที่บ่งบอกถึงรากเหง้าอันแท้จริง รับรองได้เลยว่าถ้าได้ลิ้มลองแล้ว จะติดใจในเสน่ห์ของอัลบัมนี้


- สมาชิกวงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะออซซี ออสบอร์น และโทนี ไอออมมี ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวง และที่สำคัญมันคือประวัติศาสตร์ของชาวเมตัลที่ยงัคงต้องมีการกล่าวขวัญถึงพวกเขาต่อไปอีกนานเท่านาน


หน้าปกอัลบั้ม Story1
อัลบั้ม: Story1

TRACKLISTING :
1. N.I.B.
2. Paranoid
3. War Pigs
4. Children of the Grave
5. Snowblind
6. Sabbath Bloody Sabbath
7. Symptom of the Universe
8. It’s Alright
9. Rock & Roll Doctor
10. Never Say Die



- วีซีดีชุดนี้เป็นการรวบรวมเรื่องราวความเป็นมาของวงดนตรีระดับตำนานจากเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1970-1978 พวกเขาเป็นแรงบันดาลให้กับวงดนตรีสายเมตัลทั่วโลก คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Black Sabbath (แบล๊ก ซับบาธ) บทเพลงที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นล้วนเป็นตำราอันล้ำค่าแก่วงรุ่นหลังทั้งสิ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ Ozzy Osbourne เป็นนักร้อง ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดของวง


- แฟนเพลงจะได้ฟังบทสัมภาษณ์ของสองสมาชิกหลัก อย่าง Tony Iommi (มือกีตาร์) และ Geezer Butler (เบส) เกี่ยวกับความสำเร็จของอัลบัมต่างๆ อาทิ Paranoid ที่ติดอันดับ 1 ที่อังกฤษในปี’70, Master of Reality, Sabbath Bloody Sabbath และ Sabotage


- สิ่งที่ล้ำค่าคือภาพการแสดงสดของพวกเขาในช่วงยุค’70s ทั้งภาพขาว-ดำ ของเพลง N.I.B., การแสดงสดในห้องส่งที่เบลเยี่ยมในเพลง Paranoid ในปี’70, การแสดงสดต่อหน้าแฟนเพลงกว่าแสนคนที่ปารีสกับเพลง War Pigs รวมถึงภาพต่างของเพลง Snowblind, Sabbath Bloody Sabbath, Symptom of the Universe ฯลฯ ล้วนหาชมได้ยากทั้งสิ้น


หน้าปกอัลบั้ม Story2
อัลบั้ม: Story2

TRACKLISTING :
1. Hard Road
2. Die Young
3. Neon Knights
4. Trashed
5. Zero the Hero
6. No Stranger to Love
7. The Shining
8. Headless Cross
9. Feels Good to Me
10. TV Crimes



- วีซีดีชุดนี้เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากวีซีดี Black Sabbath/Story 1 คราวนี้กล่าวถึงเรื่องราวของวง Black Sabbath (แบล๊ก ซับบาธ) ตั้งแต่ปี 1978-1992 เป็นเวลาที่ทางวงได้นักร้องใหม่เข้ามาแทนที่ Ozzy ที่ลาออกไป เขาคือ Ronnie James Dio (ex-Rainbow) มาร่วมงานในอัลบัม Heaven and Hell (’80) ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างท้วมท้นกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และภาพการแสดงสดจากเพลงในอัลบัมอย่าง Die Young และ Neo Knights ถือเป็นเพลงฮิตที่สร้างชื่อให้กับอัลบัมนี้อย่างมหาศาล แต่รอนนีย์ก็อยู่กับวงอีกเพียง 2 อัลบัมคือ Mob Rules (’81) และ Live Evil (’83) เท่านั้นก็ออกไปทำวง Dio ขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากนั้นนักร้องคนสำคัญอีกคนก็เข้ามาแทนที่นั่นคือ Ian Gillan (จาก Deep Purple) มาร่วมงานกับวงเพียงอัลบัมเดียวคือ Born Again (’83) เช่นเดียวกับในอัลบัมต่อมาอย่าง Seventh Star (’86) มือเบสที่ผันตัวเองมาเป็นนักร้องอย่าง Glenn Hughes ก็เข้ามาร่วมงานกับวงเพียงอัลบัมเดียวเช่นกัน จนทางวงมาหยุดที่ Tony Martin ไม่เพียงนักร้องเท่านั้นมือกลองคนสำคัญของวงการเพลงอย่าง Cozy Powell ผู้ล่วงลับก็เคยร่วมงานกับแบล๊ก ซับบาธมาแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่มีไลน์อัพชุดไหน ก็ไม่คลาสสิกเท่ายุคปี 1970-1978 


- วีซีดีชุดนี้เป็นการเดินทางมารวมตัวของวงในยุค’92 ของ 3 สมาชิกสำคัญของวงคือ Ronnie James Dio (ร้องนำ), Tony Iommi (กีตาร์), Geezer Butler (เบส) รวมทั้ง Geoff Nichols (คีย์บอร์ด) และ Vinnie Appice (กลอง) รวมงานกันในอัลบัม Dehumanizer (’92) ช่วงท้ายเป็นการพูดถึงวงผ่านทาง Hugh Gilmour ผู้ที่ศึกษาและติดตามเรื่องราวของแบล๊ก ซับบาธอย่างละเอียด


หน้าปกอัลบั้ม Sabbath Bloody Sabbath
อัลบั้ม: Sabbath Bloody Sabbath

TRACKLISTING :
01. Sabbath Bloody Sabbath
02. A National Acrobat
03. Fluff
04. Sabbra Cadabra
05. Killing Yourself To Live
06. Who Are You
07. Looking For Today
08. Spiral Architect



- หลังจากประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากอัลบัม Vol. 4 พวกเขาก็เดินหน้าผลิตผลงานทันทีและนี่คืออัลบัมลำดับที่ 5 ของวงที่ออกในปี ’73 ถือเป็นอีกหนึ่งงานขึ้นหิ้งของชาวเมตัลเลือดร้อน เพราะมันคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยากจะปฏิเสธ ไม่ใช่เพียงบทเพลงเท่านั้นภาพปกอัลบัมสื่อถึงด้านมืดอย่างโจ่งแจ้งโดยเฉพาะเลข 666 (หมายถึงซาตาน) สมาชิกยังคงเป็นออริจินัลไลน์อัปทั้งสิ้น ซึ่งยังคงเป็น Iommi (กีตาร์), Ozzy (ร้องนำ), Butler (เบส) และ Ward (กลอง) เปิดอัลบัมด้วย Sabbath Bloody Sabbath ที่ประกาศความมันด้วยท่อนริฟฟ์ที่ทรงพลัง ต่อด้วยเพลง A National Acrobat ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เพลงอย่าง Fluff สร้างบรรยากาศก่อนเข้าเพลงสุดยอดอย่าง Sabbra Cadabra ด้วยความไพเราะของกีตาร์คลาสสิก Killing Yourself To Live ถือเป็นเพลงเด่นอีกเพลงในอัลบัมนี้ Who Are You ถือเป็นแบบฉบับของชาวดูมเมตัลอย่างแท้จริง พวกเขาได้พ่อมดคีย์บอร์ดอย่าง Rick Wakeman จากวง Yes มาสร้างบรรยากาศให้อัลบัมนี้ดูคลังขึ้นอีกเป็นกอง


- ด้วยความยอดเยี่ยมของฝีมือในการทำเพลงของสมาชิก Black Sabbath อัลบัมนี้ถือเป็นงานยอดเยี่ยม 1 ใน 3 ที่ดีที่สุดของวงร็อคที่ดีที่สุดในช่วงปีนั้น งานของ Black Sabbath ชุดนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงเท่านั้น มันยังเป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้โลกได้รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ของดูมเมตัลและพวกสโตนเนอร์หัวแข็งกำลังก่อกำเนิดขึ้น


หน้าปกอัลบั้ม Paranoid
อัลบั้ม: Paranoid

TRACKLISTING :
01. War Pigs
02. Paranoid
03. Planet Caravan
04. Iron Man
05. Electric Funeral
06. Hand Of Doom
07. Rat Salad
08. Fairies Wear Boots




- นี่คืออัลบัมที่มีความอมตะ และเป็นอัลบัมที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของ Black Sabbath ก็ว่าได้ เพียงแค่เสียงริฟฟ์อินโทรเพลง Paranoid ที่สุดจะทรงพลังรวมถึงภาคกีตาร์ริธึมที่สับคอร์ดด้วยเสียงกีตาร์สากดิบที่ต่ำลากดิน เรียกว่าเป็นภาคกีตาร์ที่คลาสสิคตลอดกาลของวงการเมตัลไปแล้วในปัจจุบัน Iron Man จังหวะดนตรีหนักแน่นสมกับชื่อเพลง สำหรับ War Pigs นั่นในปัจจุบัน Ozzy มักยังนำเพลงฮิตเพลงนี้มาเขย่าบนเวทีอยู่เสมอ Planet Caravan บัลลาดเหง้าๆที่มีเสียงกีตาร์คลาสสิคเคลียคลอไปตลอดจนจบ


- เพลงที่เป็นเหมือนแม่แบบให้กับดนตรีสายดูมเมตัลในอัลบัมนี้ ต้องยกให้กับ Electric Funeral ที่ค่อยๆเนิบนาบแล้วเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ นวดอารมณ์ให้ล่องลอยได้อย่างดี เสียงครวญของ Ozzy ในเพลงนี้ดุจกับพ่อมดที่กำลังร่ายเวทย์ให้ชาวเมตัลที่ได้ฟังต้องหลงใหลในบทเพลงของ Black Sabbath กลิ่นอายบลูส์คลุ้งไปทั่วในเพลงบรรเลง Rat Salad มือกีตาร์ถนัดซ้ายอย่าง Iommi โชว์ไอเดียและฟิลลิงในเพลงนี้ได้อย่างสุดยอด บวกกับลูกส่งกลองเหนือจินตนาการของ Bill Ward ริฟฟ์กีตาร์มหากาฬอีกเพลงต้องยกให้กับ Fairies Wear Boots


- สมาชิกของ Black Sabbath ถือเป็นยุคที่กำลังดังสุดขีด ภายในปกอัลบัมมีเรื่องราวความเป็นมาของอัลบัมนี้โดยย่อให้ได้ศึกษา พร้อมรูปภาพประกอบที่หาดูได้ยาก


หน้าปกอัลบั้ม Vol.4
อัลบั้ม: Vol. 4

TRACKLISTING :
01. Wheels Of Confusion
02. Tomorrows Dream
03. Changes
04. FX
05. Supernaut
06. Snowblind
07. Cornucopia
08. Laguna Sunrise
09. ST. Vitus Dance
10. Under The Sun



- อัลบัมชุดที่ 4 ของ 4 หนุ่มจากเบอร์มิงแฮมที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตก และกอบโกยชื่อเสียงจากแฟนเพลงทั่วโลก พร้อมกับตารางทัวร์ที่ยาวเป็นหางว่าว สมาชิกยังคงพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น Ozzy (ร้องนำ), Iommi (กีตาร์), Ward (กลอง), Butler (เบส)


- ไม่ว่าจะมีการรวบรวมอัลบัมเมตัลที่ดีที่สุดในช่วงเวลาไหน หรือของสำนักใดก็ตาม อัลบัม Vol.4 ของ Black Sabbath ต้องติดอยู่ในอันดับ Top Ten ทุกครั้งไป นี่หล่ะคือความยอดเยี่ยมของอัลบัมนี้ แม้จะผ่านช่วงเวลามากว่า 30 ปี


- Wheels Of Confusion เพลงความยาวกว่า 8 นาที เต็มไปด้วยอารมณ์ของเสียงกีตาร์บลูส์ บรรยากาศที่ล่องลอยในแบบดนตรีร็อคยุค ’70s ต่อด้วย Tomorrows Dream ดนตรีหนักหน่วงและเร่งเร้า Changes บัลลาดร็อคที่เรียงร้อยความสวยงามด้วยเสียงเปียโนที่พลิ้วไหว Cornucopia อืดอาดยืดยาด แต่หนักแน่น, Under The Sun จังหวะ และ ST. Vitus Dance ที่แฝงเสน่ห์ของเสียงกีตาร์โทนต่ำจาก Gibson SG Standard อาวุธคู่ใจ จัดเป็นเพลงต้นแบบเกรดเอของชาวดูมเมตัล Laguna Sunrise เสียงครวญกีตาร์จาก Iommi สร้างความโดดเดี่ยวได้อย่างดี เพลงเอกอีก 2 เพลงอย่าง Supernaut และ Snowblind


หน้าปกอัลบั้ม Black Sabbath
อัลบั้ม: Black Sabbath

TRACKLISTING :
01. Black Sabbath
02. The Wizard
03. Behind The Wall Of Sleep
04. N.I.B.
05. Evil Woman
06. Sleeping Village
07. The Warning
08. Wicked World


- 4 นักดนตรีจากเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดยการรวมตัวของ Tony Iommi (กีตาร์), Geezer Butler (เบส), Bill Ward (กลอง) และ Ozzy Osbourne (ร้องนำ) ออกอัลบัมชุดนี้ในปี 1970


- เป็นอัลบัมแรกของวงที่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ด้วยความโดดเด่นของสำเนียงกีตาร์แบบบลูส์ร็อคทางถนัดของ Iommi ที่ผสมผสานกับดนตรีฮาร์ดร็อคได้อย่างดี ด้วยชื่อวงที่สื่อถึงด้านมืด แถมบทเพลงยังกล่าวถึงภูติ ผี ปีศาจ ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นพวกต่อต้านศาสนา ในทางกลับกันพวกเขาเป็นขวัญใจเหล่าแฟนเพลงที่ชอบค้นหา และพวกที่ชอบความท้าทายในด้านของเนื้อหา และเรื่องราวในบทเพลง นักร้องนำอย่าง Osbourne มีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ และในยุคแรกของวงถือว่าในยุคที่เขาอยู่เป็นยุคที่คลาสสิกตลอดกาลของวง


- บทเพลงคลาสสิกและโด่งดังสุดขีดอย่าง Black Sabbath, The Wizard, N.I.B. และ Evil Woman ก็บรรจุอยู่ในอัลบัมนี้ด้วย


- แฟนเพลงรุ่นใหม่ที่อยากทราบความเป็นไปของวงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการเพลงร็อค อย่าง Black Sabbath ไม่ควรพลาดงานชุดแรกชุดนี้ของพวกเขา เพราะไม่ใช่แค่เพลงอย่างเดียว มันคือประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำอีกด้วย


หน้าปกอัลบั้ม The Best Of Black Sabbath
อัลบั้ม: The Best Of Black Sabbath

TRACKLISTING:
Disc 1
1 Black Sabbath
2 The Wizard
3 NIB
4 Evil Woman (Don’t Play Your Games
 with Me)
5  Wicked World
6 War Pigs
7 Paranoid
8 Planet Caravan
9 Iron Man
10 Electric Funeral
11 Fairies Wear Boots
12 Sweet Leaf
13 Embryo
14 Children of the Grave
15 Lord of This World
16 Into the Void

Disc 2
1 Tomorrow’s Dream
2 Supernaut
3 Snowblind
4 Sabbath Bloody Sabbath
5 Killing Yourself to Live
6 Spiral Architect
7 Hole in the Sky
8 Don’t Start (Too Late)
9 Symptom of the Universe
10 Am I Going Insane (Radio)
11Dirty Women
12 Never Say Die
13 Hard Road
14 Heaven and Hell
15 Turn Up the Night
16 The Dark/Zero the Hero



- Black Sabbath จัดเป็นวงดนตรีในสไตล์ฮาร์ดร็อคที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุค 70s สมาชิกยุคคลาสสิกประกอบด้วย Tony Iommy (กีตาร์), Ozzy Osbourne (ร้องนำ), Geezer Butler (เบส) และ Bill Ward (กลอง) ท่วงทำนองของบทเพลงจาก Black Sabbath เป็นแรงบันดาลใจให้กับวงดนตรีรุ่นหลังมากมาย นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดดนตรีเมตัลสายพันธุ์นรก อย่าง เดธเมตัล, ดูมเมตัล หรือฮาร์ดร็อคแบบสโตนเนอร์ร็อค เป็นต้น


- Black Sabbath ในยุคของ Ozzy จัดเป็นยุคที่ดีที่สุดของวง ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงอย่าง Black Sabbath, Paranoid, War Pigs, Iron Man ฯลฯ ล้วนเป็นเสมือนตัวแทนของพวกเขามากว่า 30 ปี



- และในอัลบัม The Very Best Of Black Sabbath ได้รวบรวมบทเพลงดังกล่าวถึง 32 บทเพลง 29 บทเพลงที่ Ozzy ฝากฝีมือไว้บรรจุอยู่ในอัลบัมนี้ 3 เพลงที่เหลืออย่าง Heaven And Hell และ Turn Up The Night เป็นฝีมือการโชว์พลังเสียงของ Ronnie James Dio ที่ชาวเมตัลต่างรู้จักเขาดีในฐานะแกนนำของวงเฮฟวีเมตัลนาม Dio และปิดอัลบัมด้วย The Dark/Zero The Hero บทเพลงจากอัลบัม Born Again ที่สื่อถึงเนื้อหาของซาตาน และมวลปีศาจอย่างหมดเปลือก กับเสียงร้องของ Ian Gillan นักร้องจากคณะ Deep Purple ก็ถูกรวบรวมไว้ในอัลบัมนี้ด้วย


หน้าปกอัลบั้ม Heaven And Hell
อัลบั้ม: Heaven And Hell

TRACKLISTING :
1. Neon Knights
2. Children of the Sea
3. Lady Evil
4. Heaven & Hell
5. Wishing Well
6. Die Young
7. Walk Away 
8. Lonely is the Word 



- งานลำดับที่ 9 ของวง เป็นครั้งแรกที่กระบอกเสียงไม่ใช่ออซซี (ออกไปตั้งวง Ozzy Osbournd Band) แต่กลับเป็นอดีตนักร้องนำวง Rainbow อย่างรอนนี เจมส์ ดิโอ ส่วนสมาชิกที่เหลือยังคงเป็นชุดเดิมทั้งหมด 


- ภาคดนตรีเพิ่มความเป็นเฮฟวีเมตัลมากขึ้น ประกอบกับทักษะที่ยอดเยี่ยมในการแต่งเพลงแนวแฟนตาซีของรอนนี ไม่ว่าจะเป็น Neon Nights, Children Of The Sea, Lady Evil และ Heaven & Hell ล้วนถูกกล่าวขวัญในความยอดเยี่ยมมาจนถึงปัจจุบัน รอนนีอยู่กับวงจนถึงปี ’83 และออกผลงานมาอีก 2 ชุดคือ Mob Rules (’81) และ Live Evil (’83) แต่ก็ไม่ได้โด่งดังไปกว่า Heaven & Hell แต่อย่างใด งานเพลงในชุดนี้ถือว่ามีความคลังและคลาสสิกที่สุด ในจำนวนอัลบัมของ Black Sabbath ทั้งหมด ที่มีนักร้องคนอื่นนอกเหนือจากออซซี หลังจากหันหลังให้กับ Black Sabbath ประวัติศาสตร์ก็ได้ซ้ำรอยขึ้นอีกครั้งกับวง เมื่อรอนนี เจมส์ ดิโอได้ตั้งวงชื่อ Dio ขึ้น แล้วก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญให้กับวงการอีกมากมายในกาลต่อมา เช่นเดียวกับออซซีนั่นเอง



























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น