วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Nirvana



     ช่วง เวลาหนึ่งของวงการดนตรีของอเมริกานั้นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นยุคของ ร็อคผมยาว ชุดหนัง รองเท้าหนัง นิสัยต้องกร่างทำตัวแย่ๆเข้าไว้ มีเรื่องให้เยอะ ประดุจว่าเป็นเทพเจ้า และบทเพลงต้องมีโซโล่ที่รวดเร็วประดุจลมกรด และที่สำคัญจะต้องเป็นวงร็อคที่มีสมาชิกในวงเป็นกีต้าร์ฮีโร่ถึงจะเป็นที่ นิยม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปดนตรีเหล่านั้นได้ถูกเบียดตกขอบ โดยชายผู้หนึ่งที่เล่นกีต้าร์อย่างไม่มีเทคนิคหรือทฤษฎีอะไรมากมายเลย เขาไม่ใช่คนที่เล่นโซโล่เร็วหรือเพลงแทบไม่มีโซโล่เลยก็ว่าได้ เพลงไม่มีรูปแบบซับซ้อนอีกทั้งวงไม่ต้องใช้สมาชิกเยอะมากมาย มีเพียงแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น

บทเพลงของเขารวมถึงในส่วนของดนตรีนั้นเขาเล่นมันออก มาจากใจและอารมณ์ดิบที่รอการปลดปล่อยออกมาทางบทเพลง บุคคลผู้นี้คือคนที่มาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของดนตรีอีกหนึ่งหน้า และโลกจะต้องจดจำเขาผู้นี้ไปตลอดกาล เขาคือ Kurt Cobain ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวของ Kurt นั้นมันมาอย่างรวดเร็วมากนั้นตอนที่เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นเขามีอายุ เพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน Kurt เกิดเมื่อวันที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ ปี 1967 ในเมือง Aberdeen รัฐ Washington.ในช่วงวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ช่างกระตือรือร้นแทบทุกเรื่อง Kurt เป็นเด็กที่น่ารักชอบเล่นสนุกอย่างเด็กๆทั่วไป แต่พอเมื่อเขาย่างเข้าอายุ 7 ขวบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาเริ่มที่จะเปลี่ยนจุดแรกที่เปลี่ยนอย่าง เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ สภาพครอบครัวต้องแตกแยก พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางเดินที่จะอยู่ด้วยกันและอีกจุดคือพ่อและแม่ ของเขาส่งเขาไปอยู่กับญาติ และจุดเหล่านี้แหละที่เริ่มทำให้ Kurt เริ่มที่จะแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป และเด็กหลายๆคนก็มักที่จะเจอปัญหานี้เช่นกันนั้นคือ การขาดความอบอุ่นและการใส่ใจดูแล หากใครได้สังเกตเห็นเนื้อเพลงของ Nirvana ที่ชื่อว่า Silver เพลงนี้แหละครับที่เขาแต่งมันออกมาเพื่อสะท้อนชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ชีวิตของ Kurt เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเก็บตัวเงียบๆไม่ค่อยพูดคุยกับใครมากนัก เขาเริ่มเกลียดโรงเรียนและเริ่มที่จะไม่ไปเรียน


Kurt เริ่มหันมาสนใจศิลปะและชอบวาดรูปแทนการไปเรียนหนังสือ และอีกสิ่งในชีวิตของเขาที่ชอบและขาดไม่ได้เลย อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งด้วย นั้นคือ “ ดนตรี ” ในช่วงแรกนั้นเขาเริ่มฟังเพลงของวง The Beatles และ The Monkees ต่อมาจุดเปลี่ยนแปลงและต้นกำเนิดของ Nirvana เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จักกับวงอย่าง Black Sabbath, The Sex Pistols และวง The Clash เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวงพวกนี้จะมีความเป็นพังก์และความดิบของดนตรีร็อกอยู่สูง ดังนั้นดนตรีเหล่านี้จึงสะท้อนออกมาทางบทเพลงของ Nirvana อยู่เยอะที่เดียว และเมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเขา Kurt ก็ได้ซื้อกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตและเขาก็เริ่มหัดและทกลองเล่นในสิ่งที่แตก ต่างออกไปจากมือกีต้าร์คนอื่นๆ และKurt ยังได้ก่อตั้งวงขึ้นมาหนึ่งวงและตั้งชื่อมันว่า Melvins และ Kurt ก็ได้ทำสิ่งหนึ่งที่คนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กล้าทำและเป็นสิ่ง ที่บรรดาผู้ใหญ่ต่างก็คิดไม่ถึงนั้คือการที่เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนก่อน ที่จะจบในอีกไม่นานเพื่อที่จะมาเล่นดนตรี แต่ต่อมาทุกอย่างก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่องานในสายดนตรีมันไม่ ได้ยืนยาวอย่างที่เขาคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Kurt ก็ไม่ได้ท้ออะไรเกี่ยวกับมันมาก


มันกลับยิ่งเป็นแรงส่งให้เขาตั้ง วงขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งวงซึ่งเป็นวงดนตรีสามชิ้น และใช้ชื่อว่า “ Nirvana ” ในยุคแรกของ Nirvana มีสมาชิกหลักๆก็คือ Kurt ที่รับตำแหน่งร้องและเล่นกีต้าร์ Krist Novaselic รับตำแหน่งมือเบส ในส่วนของมือกลองนั้นยังต้องคอยสลับสับเปลี่ยนมือกลองเข้ามาใหม่อยู่เป็น เรื่องประจำ และแล้วในที่สุดความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงเมือ่อัลบัมชุดแรกได้ออกมาในชื่อ ชุด Bleach เมื่อปี 1989 พวกเขาเริ่มออกทัวร์ แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่นักแต่ Nirvana ก็มีแฟนเพลงอยู่กลุ่มหนึ่ง และซิงเกิ้ลที่สองก็ได้ออกมาแต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จึงส่งผลให้ทางวงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสังกัดอยู่ และก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างเริ่มจากพวกเขาได้อยู่สังกัด Geffen การเปลี่ยนแปลงที่สองก็คือ Nirvana ได้สมาชิกใหม่และเป็นสมาชิกถาวรจนถึงปัจจุบันนั้นคือ Dave Grohl ซึ่งมารับตำแหน่งมือกลอง

การเปลี่ยนแปลงอย่างสุดท้ายถือว่าเป็นการเปลี่ยนวงการดนตรีทั้งโลกเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาได้ออกอัลบัมที่กลายเป็นอมตะไปซะแล้วสำหรับโลกนี้นั้นคืออัลบัม ชุด Nevermind ซึ่งอัลบัมชุดนี้นอกจากจะเปลี่ยนกระแสดนตรีแล้วก็ยังมีเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง "Smells Like Teen Spirit " , "Come as You Are" และ "Something in the Way " พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กรุ่นใหม่และไม่มีทางที่จะปฎิเสธได้เลยว่าวัยรุ่น ที่หัดเล่นกีต้าร์ในยุคนั้นจะไม่เคยแกะเพลงของเขาเล่น และความสำเร็จของ Nirvana ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้ออกรายการ MTV's Headbanger's Ball และ NBC's Saturday Night Live. Nirvana เริ่มออกทัวร์กันอย่างหนักแบบประมาณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จของพวกเขาที่เข้ามาถึงจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็มี เรื่องที่เลวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อ Kurt เริ่มที่จะติดยาเสพติดอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีนหรือเฮโรอีน หลายต่อต่อหลายครั้งที่ Kurt ให้สัมภาษณ์เขามักจะบอกว่าเขาต้องใช้ยาพวกนี้เพื้ฃ่อที่จะระงับอาการปวด ท้องอย่างรุนแรงจากโรคกระเพาะ และนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังตามมา ปี 1992 Kurt ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับ Courtney Love ศิลปินสาวแห่งวงร็อกอย่าง Holeและแล้วทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวหนึ่งคน ปี 1993 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสูญเสียเมื่อ Kurt เริ่มที่จะหันหน้าเข้าหาเฮโลอีน เขาติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน และแล้วงานต่างๆที่เข้ามาหลายๆครั้ง Kurt ก็ทำมันเสีย บางครั้งเขาก็เล่นแบบไม่จบคอนเสริต และในปีนี้ Nirvana ก็ได้ออกอัลบัมมาอีกหนึ่งชุดนั้นคือ In Utero และอัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจากเป็นอัลบัมที่บัน เสียงในสตูดิโอเป็นชุดสุดท้ายของ Nirvana ปี 1994 Nirvana ได้เล่นคอนเสริตที่ดีอีกหนึ่งคอนเสริตนั้นคือ MTV unplugged และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยนั้นก็คือ Kurt ตัดสินใจใช้ปืนลูกซองยิงกรอกปากตัวเอง และศพของ Kurt ถูกพบหลังจากการตายสามวัน นั้นคือวันที่ 8 เมษายน ปี 1994 ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของวงการดนตรีอีกครั้ง





ประวัติวง เนอร์วาน่า Nirvana
เนอร์วาน่า (Nirvana) เป็นวงที่ทำเพลงแนวกรันจ์ และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก เริ่มตั้งวงเมื่อปี 1987 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และยุบวงในปี 1994 เมื่อ เนอร์วาน่า ออกอัลบั้ม Nevermind ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 2 ในปี 1991 ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปลี่ยนไป เพราะ เนอร์วาน่า ทำให้แนวเพลงพังค์ร็อก โพสท์พังค์ และอินดี้ร็อกได้รับความนิยมในตลาดหลักของอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีวงใดทำได้มาก่อน


ช่วงเริ่มแรก
เคิร์ท โคเบน (ร้องนำ, กีต้าร์) พบกับคริส โนโวเซลิก (มือเบส) ในปี 1985 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้เมืองเล็ก ๆ ห่างจากซีแอ็ทเทิล 100 ไมล์ ภูมิหลังของ คริสราบเรียบกว่าเคิร์ท เพราะตอนอายุ 8 ปีเคิร์ทต้องเผชิญกับปัญหาจากการหย่าร้าง ของบิดามารดา หลังจากทั้งคู่หย่ากันแล้ว เคิร์ทก็ต้องเวียนไปอยู่ตามบ้านญาติ เขาชอบเพลงของเดอะ บีทเทิ้ลส์ จากนั้นก็หันมาชอบเพลง เฮฟวี่เมทัล ในที่สุดเคิร์ท ก็หลงรักเพลง ฮาร์ดคอร์พังค์ ทั้งยังได้พบกับวงThe Melvins ซึ่งเป็นวงเฮฟวี่พังค์อันเดอร์กราวด์ ต่อมา เคิร์ทก็เริ่มเล่นดนตรีให้วงพังค์อย่าง Fecal Matter โดยส่วนใหญ่จะไปกับเดล โครเวอร์ มือเบสของ The Melvins


บัซซ์ ออสบอร์น หัวหน้าวง The Melvins แนะนำให้เคิร์ท รู้จักกับคริส โนโวเซลิก ซึ่งสนใจดนตรีพังค์เช่นกัน การสนใจแนวเพลงพังค์ ทำให้ทั้งเคิร์ทกับคริสรู้สึกแปลกแยก จากคนส่วนใหญ่ในอาเบอร์ดีน ที่เป็นคนงาน ทั้งคู่จึงตัดสินใจ ตั้งวงชื่อว่า The Stiff Woodies โดยเคิร์ท เป็นมือกลอง คริสเป็นมือเบส ส่วนตำแหน่งกีต้าร์ กับร้องนำนั้น มีหลายคนสลับสับเปลี่ยนกันไป จนในที่สุดเคิร์ทก็เล่นกีต้าร์และ ร้องเอง หลังจากเปลี่ยนชื่อวงเป็น Skid Row วงของเคิร์ท ก็มีสมาชิกทั้งหมดเป็น 3 คน ผู้ที่มาเพิ่มคือ แอรอน เบิร์คฮาร์ท มือกลอง แต่พอถึงปี 1986 แอรอนก็ออกจากวง ผู้ที่มาแทนคือแช้ด แชนนิ่ง ต่อมาในปี 1987 Skid Row ก็เปลี่ยนชื่อเป็น เนอร์วาน่า เนอร์วาน่า เริ่มจากการเล่นดนตรี ตามงานเลี้ยง ในเมืองโอลิมเปีย จนมีแฟนเพลงกลุ่มใหญ่พอควร

ในปี 1987 เนอร์วาน่า ทำเดโมเทป 10 ม้วน กับโปรดิวเซอร์ แจ็ค เอ็นดิโน่ ซึ่งได้นำเทปตัวอย่างไปเสนอ โจนาธาน โพนแมน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัทแผ่นเสียงอิสระ ในซีแอ็ทเทิล ชื่อ Sub Pop ในที่สุดเนอร์วาน่า ก็ได้เซ็นสัญญาบริษัท และเดือนธันวาคม ปี 1988 เนอร์วาน่า ก็ออกซิงเกิ้ลแรก เป็นเพลงเก่าของวง Shocking Blue ชื่อ Love Buzz


ค่าย Sub Pop วางแผนการตลาด โดยให้สร้างภาพให้ เนอร์วาน่า เป็นวงหลังเขาจากเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งทำให้เคิร์ท กับคริสไม่พอใจ เพลง Love Buzz ได้รับการยอมรับพอสมควร แต่ผลงานที่ทำให้ เนอร์วาน่า เป็นที่รู้จักคืออัลบั้ม Bleach ซึ่งใช้เงินในการบันทึกเสียงกว่า 600 เหรียญเท่านั้น แต่เมื่อออกขายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1989 Bleach ก็ค่อย ๆ ฮิตตามสถานีวิทยุมหาวิทยาลัย เนื่องจาก เนอร์วาน่า ออกทัวร์คอนเสิร์ตสม่ำเสมอ แม้ในปกอัลบั้ม Bleach จะระบุชื่อมือกีต้าร์คนที่ 2 ไว้ว่าเป็น เจสัน เอฟเวอร์แมน แต่เขาไม่ได้ร่วมบันทึกเสียงด้วยเลย เจสัน เพียงแต่ออกทัวร์คอนเสิร์ตเท่านั้น ก่อนจะออกจากวงไปในช่วงปลายปี เพื่อไปอยู่กับวง Soundgarden และ Mindfunk


อัลบั้ม Bleach ขายได้ถึง 35,000 ชุด และ เนอร์วาน่า ก็ได้รับความนิยมจากสถานีวิทยุตามมหาวิทยาลัย และ นิตยสารดนตรีในอังกฤษ นอกจากนี้ วง Sonic Youth Mudhoney และ Dinosaur Jr. ก็ชื่นชม เนอร์วาน่า ด้วย ทำให้ค่ายเทปใหญ่ ๆ หันมาสนใจ เนอร์วาน่า ในช่วงฤดูร้อน เนอร์วาน่า ออกซิงเกิ้ล Sliver กับ Dive ซึ่งมีแดน ปีเตอร์สจากวง Mudhoneyมาเล่นกลองให้ ส่วนโปรดิวเซอร์คือ บุช วิค นอกจากจะบันทึกเสียง เพลงทั้งสองกับวิคแล้ว เนอร์วาน่ายังทำเดโมเทปอีก 6 เพลงกับวิคด้วย เดโมชุดนี้ ไปถึงมือค่ายยักษ์ซึ่งแย่งกัน เซ็นสัญญากับ เนอร์วาน่า


Nevermind
ปลายฤดูร้อน เดฟ โกรลห์ อดีตสมาชิกวง Scream วงแนวฮาร์ดคอร์จากวอชิงตันดีซี ก็เข้ามาเป็นมือกลองของ เนอร์วาน่า หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่ายดีจีซีด้วยค่าตัว 287,000 เหรียญ เนอร์วาน่า บันทึกเสียงอัลบั้มที่ 2 กับวิค จนเสร็จในฤดูร้อนปีนั้นเอง ช่วงปลายฤดูร้อน หลังจาก เนอร์วาน่า ออกทัวร์คอนเสิร์ตกับ Sonic Youth พวกเขา ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือนกันยายน ชื่อ Nevermind หลังออกอัลบั้ม เนอร์วาน่า ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตใน สหรัฐอเมริกาทันที ค่ายดีจีซี ต้นสังกัดของ เนอร์วาน่า ตั้งเป้าว่า Nevermind จะขายได้ประมาณ 100,000 ชุด แต่ปรากฏว่า Nevermind ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขายชุดแรกจำนวน 50,000 แผ่นได้ในเวลาไม่นาน จนขาดตลาดทั่วอเมริกา



เพลงที่ช่วยให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จคือ Smells Like Teen Spirit เพลงร็อก 4 คอร์ดที่มีการนำ มิวสิก วีดิโอ ออกกระหน่ำฉายทางเอ็มทีวี ต้นปี 1992 เพลง Smells Like Teen Spirit ก็ขึ้นถึงท็อป 10 ในอเมริกา และ Nevermind ก็ทำให้อัลบั้ม Dangerous ที่สร้างชื่อให้ ไมเคิล แจ็คสัน อีกครั้ง ต้องตกจากอันดับที่ 1 นอกจากนี้ Nevermind ยังติดท็อป 10 ที่อังกฤษหลังจากนั้นไม่นานด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ Nevermind ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาวถึงสามแผ่น ความสำเร็จของ เนอร์วาน่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจในวงการเพลง พวกเขาเองก็แปลกใจเช่นกัน


เนื่อง จากปัญหาส่วนตัวของ เคิร์ท โคเบน ตกเป็นข่าวไปทั่ว เนอร์วาน่า จึงบันทึกเสียงอัลบั้มต่อจาก Nevermind ไม่ได้จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิปี 1993 ในช่วงที่หยุดไป ดีจีซี ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงของ เนอร์วาน่า ชื่อว่า Incesticide ในช่วงปลายปี 1992 อัลบั้มนี้ ขึ้นถึงอันดับ 39 ในอเมริกา และอันดับ 14 ในอังกฤษ ผลงานอีกชิ้นที่ออกมาก่อนออกอัลบั้มที่ 3 คือซิงเกิ้ลที่ เนอร์วาน่า ร่วมทำกับวง The Jesus Lizard ที่ชื่อ Oh, The Guilt โดยซิงเกิ้ลนี้ มีค่าย ทัชแอนด์โก เป็นต้นสังกัด ในอัลบั้มที่ 3 เนอร์วาน่า เลือกสตีฟ อัลบินี่ โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานกับ Pixies BreedersBig Black และจJesus Lizard มาเป็นโปรดิวเซอร์

In Utero
อัลบั้ม In Utero ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 3 ของ เนอร์วาน่า ออกมาในฤดูใบไม้ผลิ 1993 หลังทำอัลบั้มนี้เสร็จ เนอร์วาน่า ก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอีกครั้ง เคิร์ทเสพย์เฮโรอีนเกินขนาด ในวันที่ 2 พฤษภาคม แต่ข่าวนี้ถูกปิดไว้ เดือนต่อมา คอร์ทนีย์เรียกตำรวจไปที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล หลังจากเคิร์ท ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ และขู่จะฆ่าตัวตาย ก่อนออกอัลบั้ม In Utero เคิร์ทเคยเสพย์ยาเกินขนาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ใน งานสัมมนาดนตรีแนวใหม่ที่ห้องโรสแลนด์บอลรูมในนิวยอร์ก ในเดือนกรกฎาคม ช่วงนั้นเอง เริ่มมีข่าวในนิวสวีค และสื่ออื่น ๆ ว่าดีจีซีไม่พอใจอัลบั้มใหม่ ทั้งยังกล่าวหา เนอร์วาน่า ว่าตั้งใจออกอัลบั้ม ไม่ให้ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ทางวง และต้นสังกัดปฏิเสธข่าวดังกล่าว



แต่ต่อมา เนอร์วาน่า ตัดสินใจปลด สตีฟ อัลบินี่ เพราะเห็นว่า ผลงานของสตีฟเรียบเกินไป และดึง สก็อต ลิทท์ โปรดิวเซอร์ของ R.E.M.มาปรับปรุงเพลง In Utero ออกวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ทั้งยังทำยอดขายช่วงแรกได้ดี ทำให้เข้าอันดับเป็นอันดับ 1 ทั้งในอังกฤษ และอเมริกา เนอร์วาน่า ออกคอนเสิร์ตในอเมริกา เพื่อโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ โดยได้จ้าง แพ็ท สเมียร์ อดีตมือกีต้าร์วง Germs มาช่วยเล่นกีต้าร์เสริม แม้ตัวอัลบั้ม กับการแสดงคอนเสิร์ต จะประสบความสำเร็จ แต่ยอดขายกลับไม่สูงอย่างที่คาดไว้ การแสดงสดหลายครั้งขายบัตรได้ไม่มาก ต้องรอจนถึงสัปดาห์ที่มีการแสดง จึงขายหมด ด้วยเหตุนี้ เนอร์วาน่า จึงยอมรับปากเล่นคอนเสิร์ตแบบอะคูสติกที่ชื่อ Unplugged ของเอ็มทีวีตอนปลายปี
การตายของเคิร์ท โคเบน



หลังจากคอนเสิร์ตของเอ็มทีวีครั้งนี้ ออกอากาศในเดือนธันวาคม ยอดขาย In Utero ก็สูงขึ้น หลังจบการทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มกราคม 1994 ที่เซ็นเตอร์ อารีน่าในซีแอ็ทเทิ่ล เนอร์วาน่า ก็เริ่มทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรปในเดือน กุมภาพันธ์ หลังจากแสดงคอนเสิร์ตในมิวนิควันที่ 29 กุมภาพันธ์ เคิร์ทก็อยู่ที่กรุงโรมกับคอร์ทนีย์ต่อ เพื่อพักผ่อน วันที่ 4 มีนาคม เมื่อคอร์ทนีย์ตื่นมาก็พบว่า เคิร์ทพยายามฆ่าตัวตาย โดยทานยาโรฟีนอล ซึ่งเป็นยานอนหลับพร้อมกับแชมเปญ แม้ข่าวจะออกมาว่า เคิร์ทไม่ได้ตั้งใจฆ่าตัวตาย แต่สมาชิกวง เนอร์วาน่า ทราบดีว่า เคิร์ททิ้งจดหมายลาตายไว้

หลังอยู่โรงพยาบาล 1 สัปดาห์ เคิร์ทก็กลับซีแอ็ทเทิ่ล สุขภาพจิตของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ในวันที่ 18 มีนาคม ตำรวจต้องกล่อมให้เคิร์ท เลิกคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาขังตัวเองไว้ในห้อง และขู่จะฆ่าตัวตาย คอร์ทนีย์ กับผู้จัดการวง เนอร์วาน่า จัดการให้เคิร์ท เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์บำบัดเอ็กโซดัส ในลอสแองเจลิส เมื่อวันที่ 30 มีนาคม แต่เคิร์ทก็หนีออกมาได้ในวันที่ 1 เมษายน แล้วกลับไปซีแอ็ทเทิ่ล มารดาของเคิร์ท แจ้งความว่าเคิร์ทหายไปในวันที่ 4 เมษายน ในวันที่ 5 เคิร์ทก็ยิงศีรษะตนเองที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล แต่ยังไม่มีใครพบศพ จนกระทั่งวันที่ 8 เมษายน เมื่อช่างไฟที่ไปติดตั้งระบบสัญญาณเตือน ที่บ้านของเคิร์ท ไปสะดุดร่าง ของเขาเข้า


หลัง เสียชีวิต เคิร์ท โคเบน กลายเป็นเสมือนกระบอกเสียง ของคนรุ่นเจนเนอเรชั่น เอกซ์ ทันที ทั้งยังกลายเป็น สัญลักษณ์ของความทรมาน และความกดดัน ของคนรุ่นนี้ด้วย หลังการตายของเคิร์ท คริส โนโวเซลิก กับเดฟ โกรลห์ วางแผนจะออกอัลบั้มซีดีแผ่น คู่ รวมการแสดงสดในช่วงปลายปี 1994 แต่การเลือกเพลงจากเทป ทำให้ทั้งสองเจ็บปวดมาก ดังนั้นจึงมีการนำเพลงในรายการ MTV Unplugged in New York มาออกแทน อัลบั้มนี้เป็นอันดับ 1 ตั้งแต่เข้าอันดับ ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ในปี 1996 ก็มีการออกอัลบั้ม From The Muddy Banks Of The Wishkah ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา ในสัปดาห์แรกที่เข้าอันดับ หลัง จากเคิร์ท โคเบนเสียชีวิต เดฟ โกรลห์ก็ตั้งวงThe Foo Fighters ซึ่งออกอัลบั้มชุดแรกในฤดูร้อนปี 1995 ส่วนคริส โนโวเซลิกก็ตั้งวง Sweet 75 และออกอัลบั้มแรก ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1997 และตอนนี้ ฟอร์มวงที่มีชื่อว่า Eyes Adrift



แนวเพลง
แม้เพลงของ เนอร์วาน่า น่าจะฟังดูคล้ายส่วนผสม ระหว่าง เพลงของ Black Sabbath กับ Cheap Trick แต่เพลงของ เนอร์วาน่า เป็นอินดี้ร็อกขนานแท้ เนอร์วาน่า นำเพลงของ Vaselines มาร้อง และยังปลุกกระแส นิวเวฟด้วย เคิร์ท โคเบน หัวหน้าวง เนอร์วาน่า ผลักดัน วงดนตรีที่เขาชื่นชอบอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรี แนวอาร์ตพังค์อย่าง Raincoats หรือวงแนวฮาร์ดคอร์ อย่าง The Meat Puppets จนดูเหมือนว่า เพลงในดวงใจของเคิร์ท สำคัญกว่าเพลงของตัวเขาเอง เนื่องจาก เนอร์วาน่า มีพื้นฐานจากแนวอินดี้ แต่ชอบเพลงป็อป แนวเพลงของวง ที่ออกมาระหว่าง การเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จึงแปรผันไปตามเวลา จนกระทั่ง เนอร์วาน่า กลายเป็นวงแอนตี้ร็อก ที่อื้อฉาวที่สุดวงหนึ่ง ในประวัติศาสตร์วงการเพลง

ภาพลักษณ์
ช่วง ที่ออกอัลบั้ม Nevermind เนอร์วาน่า มักยั่วยุกลุ่มแฟนเพลง เช่น เมื่อ เคิร์ท โคเบน ไปออกรายการ Headbanger's Ball ของเอ็มทีวี โดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง นอกจากนี้ สมาชิกวงยังล้อเลียนรายการ Top Of The Pops ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีด้วย โดยคริส โนโวเซลิก โยนเบสขึ้นลงตลอดเวลา และเคิร์ทก็ร้องเพลงแบบ เอียน เคอร์ทิส เวลาแสดงสด การทำลายเครื่องดนตรีของ เนอร์วาน่า ก็มีให้เห็นกันประจำ ภาพเช่นนั้น กลายเป็นภาพติดตาเมื่อ เนอร์วาน่า ทำลายเครื่องดนตรี ในรายการ Saturday Night Live แล้วลงเอยด้วยการที่ คริส โนโวเซลิก กับ เดฟ โกรลห์ จูบกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น