วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Iron Maiden



     Iron Maiden ฟอร์มวงกันตั้งแต่ปี 1975 โดยมือเบสหนุ่มนาม Steve Harris อดีตสมาชิกของวง Gypsy's Kiss และ Smiler โดยเขาได้ชื่อวง Iron Maiden มาจากชื่อของภาพยนตร์เรื่อง Man in the Iron Mask และชื่อของเครื่องทรมาณของศตวรรษที่ 17 



นอกจากเล่นเบสแล้ว Steve ถือได้ว่าเป็นนักเตะตัวยงด้วย ไม่ใชเตะบอลนะคับ แต่เป็นการเตะโด่งสมาชิกของวงออกไปทีละคน 2 คน หรือบางทีก็เตะออกไปทั้งวง พูดอีกนัยหนึ่งคือพี่แกเห็นหน้านักดนตรีเป็นลูกบอลไปแล้วก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตามมีหนุ่มอยู่นามนึงที่ Steve ยังไม่กล้าเตะเพราะกลัวโดนเตะกลับ เขาก็คือ Dave Murray มือกีตาร์คู่บุญนี่เอง ซึ่ง Steve ได้รู้จักเขาผ่านทาง Dennis Wilcock อดีตนักร้องนำ Iron Maiden ที่เคยโดนสตีฟเตะโด่งมาแล้ว


Steve และ Dave ต่างก็ช่วยกันค้นหาสมาชิกเพื่อมาฟอร์มวง Iron Maiden ให้สมบูรณ์ หลังจากที่เล่นสตีฟเตะฟรีคิ๊กสมาชิกไปหลายคน และในที่สุดพวกเขาก็มารู้จักกับนักร้องชื่อ Paul Di'Anno และได้ร่วมกันออกเดโมตำนานตัวแรกที่ชื่อว่า The Soundhouse Tapes เดโมตัวนี้ขายได้ร่วม 5 พันก๊อปปี้ภายในอาทิตย์แรกเท่านั้น โดยเพลง Prowler ก้กลายเป็นเพลงดังติดชาร์ตันดับ 1ของนิตยสาร Sounds Magazine และนอกจากนี้ก็ได้มีการนำเพลงของ Iron Maiden รวมในอัลบั้มรวมเพลงของเหล่าวง NWOBHM ในตำนานชื่อ Metal for Muthas ที่ออกมาในปี 1980 โดยเพลงที่นำไปรวมคือเพลงแต่งใหม่ชื่อว่า Sanctuary และ Wrathchild ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นเพลงระดับคลาสสิคของวงทั้ง 2 เพลง นอกจากนี้ทางวงยังได้ติดต่อกับ Adrian Smith มือกีตาร์ที่เป็นเพื่อนวัยเด็กของ Dave เพื่อมาเป็นมือกีตาร์คนที่ 2 ของทางวงด้วย แต่ Adrian กลับหยิ่งและปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าเขาต้องการให้เวลากับวงของเขามากกว่า


ด้วยความสำเร็จแบบถล่มทลายพวกเขาจึงได้เซ็นสัญญากับสังกัดยักษ์ของเกาะอังกฤษอย่าง EMI และออกอัลบั้มเต็มชุดแรกใช้ชื่อเดียวกะวงว่า Iron Maiden ในปี 1980 อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จจนพุ่งทะลุชาร์ตในประเทศบ้านเกิดถึงอันดับ 4 และทำให้ชื่อของวงถูกจับตามองว่าเป็น 1 ในหัวหอกของกระแสดนตรี NWOBHM ไป นอกจากนี้ทางวงยังได้ Adrian Smith (ที่ตอนแรกทำหยิ่ง) มาเล่นกีตาร์ให้แบบถาวรด้วย



  สตีฟกับคณะไม่รอช้าเข็นเอาอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 นาม Killers มากระแทกหูเหล่าเมทัลเฮดแบบไม่ขาดสายในปี 1981 แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก้เกิดขึ้น โดย Steve ได้สวมบทนักฟุตบอลทีมชาติทำการเตะโด่ง Paul Di'Anno เพราะไม่มีกระจิตกระใจให้กับวง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการติดยาด้วย ซึ่งในขณะนั้นเองทางวงก็กำลังจะตีตลาดอเมริกา สตีฟจึงตัดสินใจเตะโด่งพอลและตามหานักร้องนำคนใหม่ต่อไป (ซึ่งภายหลัง Paul ก็ไปฟอร์มวงของตัวเองชื่อ Battlezone และตั้งชื่ออัลบั้มว่า Fighting Back เหมือนจงใจในกระทบ Steve ยังไงก้ไม่รู้)


ไม่นานหลังจากนั้นทางวงก็ได้นักร้องนำคนใหม่นาม Bruce Dickenson อดีตสมาชิกวง Samson มาร่วมงานและออกอัลบั้มชุดที่ 3 ชื่อ The Number of the Beast ในปี 1982 และกลายเป็นอัลบั้มระดับตำนานที่เหล่าเมทัลเฮดควรสดับรับฟัง เพราะมีเพลงระดับตัวแทนของวงเกือบทั้งอัลบั้มเลยก็ว่าได้ ทำให้งานชุดนี้ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ในอเมริกาเองก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน แต่กลับโดนไอ้พวกมะกันโง่ๆกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นซาตานิก ทำให้อัลบั้มของ Iron Maiden ที่วางขายในอเมริกาโดนทำลายทิ้งไปเป็นจำวนมาก (ร่วมกับงานของ Ozzy ด้วย) ไอ้พวกมะกันนี่มันหัวควายไม่มีสระอาจริงๆ


ในปี 1983 ทางวงก็ได้ออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 นาม Piece of Mind ซึ่งงานนี้พวกเขาได้มือกลอง Nicko McBrain มาร่วมตีให้ด้วย อัลบั้มนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเพลงระดับคลาสสิคล้วนๆหลายเพลง โดยเฉพาะ The Trooper ที่ถือได้ว่าเป็นริฟฟ์คลาสสิคของวง และมักถูกนำไปคัฟเวอร์จากวงเฮฟวี่ยันแบลค เรียกว่าเข้าถึงกลุ่มคนฟังทุกเพศทุกวัยจริงๆ


ในปี 1984 ทางวงก็ได้ออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 5 นาม Powerslave ซึ่งมีปกสื่อถึงวัฒนธรรมอิยิปต์ จนพาลคิดไปว่านี่เป็นคอนเซปอัลบั้ม (จิงๆแล้วมีเพลงที่เกี่ยวกับอิยิปต์แค่เพลงเดียวเองมั้งคับ) ด้วยความสำเร็จจากงานชุดนี้ทำให้พวกเขาตกลงใจกันออกอัลบั้มแสดงสดนาม Live After Death มากอบโกยเงินกันต่อไป ซึ่งหลังจากพวกเขาทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม Powerslave กันเสร็จ สตีฟ กับคณะก็ทำงานพักยาว นั่งอ้วนอยุ่บ้านเป็นเวลา 6 เดือน 


การนั่งอ้วนอยุ่บ้านดูทีวีไปเรื่อยๆ คงทำให้พวกเขาได้ไอเดียอะไรใหม่ๆคับ เพราะหลังจากนั้นพวกเขาก้กลับมาทำอัลบั้มชุดที่ 6 ต่อในปี 1986 ใช้ชื่อว่า Somewhere in Time พวกเขาได้เริ่มมีการทดลองอะไรแปลกๆใหม่ๆเข้าไปในซาวด์ไม่ว่าจะเป็นการใช้ซินธ์กีตาร์ และซินธ์เบส (กีตาร์สังเคราะห์ เบสสังเคราะห์) ซึ่งงานชุดนี้ก็ทำให้เห็นทิศทางอะไรบางอย่างในดนตรีของ Iron Maiden มากขึ้น จนมาถึงอัลบั้มชุดที่ 7 ในปี 1988 อย่าง Seventh Son of a Seventh Son ที่พวกเขาแทบจะหันไปเล่นโปรเกรซซีฟเมทัลซะให้ได้ โดยมีการทำงานออกเป็นคอนเซปอัลบั้มเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กพลังจิต มีการใช้คีย์บอร์ด ซินธ์กีตาร์ และการเรียบเรียงวดนตรีที่ออกไปทางโปรเกรซซีฟมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้แฟนเพลงของทางวงบางส่วนหน้าเบ้ แต่ถือว่าเป็นงานระดับมาตรฐานไม่มีตกของทางวง


ในปี 1989 Adrain Smith ตัดสินใจลาออกจากวงเพราะเขาต้องการให้เวลากับวงของเขา ASAP ซึ่งคนที่เข้ามาแทนที่คือ Janick Gers มือกีตาร์ที่เคยร่วมงานกับ Bruce Dickenson ในอัลบั้มเดี่ยวของเขาที่ใช้ช่อว่า Tattooed Millionaire มาร่วมวง และทำอัลบั้มเต็มชุดที่ 8 ในปี 1990 ชื่อ No Prayer for the Dying ซึ่งถือว่าเป็นงานที่กลับมาเล่นในแบบเฮฟวี่เมทัลมากกว่าโปรเกรซซีฟเมทัลเหมือนงานชุดที่แล้ว


ในปี 1992 ทางวงออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 9 ชื่อ Fear of the Dark ซึ่งก็มีเพลงระดับคลาสสิคมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะไตเติลที่ถือว่าต้องเล่นทุกโชว์ของวง แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น Bruce Dickenson ได้ลาออกจากวงไปในปี 1993 เพราะเขาต้องการไปเป็นศิลปินเดี่ยวมากกกว่าทำงานร่วมกับไอรอนเมเด้น แต่ก่อนออกบรูซและวงก็ได้ร่วมกันจัดทัวร์อำลา Farewell Tour แฟนๆด้วย โดยภาพจากการแสดงสดนี้ถูกทำออกมาเป็นวิดีโอใช้ชื่อว่า Raising Hell 


เพื่อเฉลิมฉลองการลาออกของ Bruce  ทางวงก็ได้ออกอัลบั้มแสดงสดคู่ อย่าง A Real Live One ซึ่งเป็นการนำเพลงที่แต่งในช่วงปี 1986 ถึง 1992 มาแสดง และอัลบั้ม A Real Dead One ที่จะเป็นเพลงในช่วงปี1975 ถึง 1984 โดยตอนแรกนั้นขายแบบแยกแผ่น (เสียตัง 2 รอบ) แต่ภายหลังแผ่นในเวอร์ชั่นรีอิชชูก็ได้มีการทำออกมาเป็นลักษณะของแผ่นคู่ Double Disc


ในปี 1994 ทางวงก้ได้นักร้องนำคนใหม่ชื่อว่า Blaze Bayley จากการออดิชั่นของนักร้องหลายพันชีวิต ซึ่ง 1 ในนั้นก็มีชื่อของ Andre Matos อดีตนักร้องนำวง Angra อยู่ด้วย โดย Blaze กับทางวงได้ร่วมกันทำอัลบั้ม The X Factor อัลบั้มชุดที่ 10 ของทางวงในปี 1995 แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากแฟนเพลงยังรับไม่ได้กับการจากไปของบรูซ และส่วนหนึ่งก็ไม่ค่อยยอมรับในตัวของ Blaze แต่ทางวงก็ยังให้โอกาสเขาด้วยการร่วมกันทำอัลบั้มชุดท่ 11 ชื่อ Virtual XI ในปี 1998 และแน่นอนครับว่าชุดนี้ยอดขายก็ยังเน่าเหมือนเดิม และถือได้ว่าเป็นอัลบั้มที่มียอดขายตำที่สุดของทางวงด้วย ผลก็คือ Steve Harris ได้ทำการสวมวิญญาณนักเตะ ยิงจุดโทษใส่ Blaze กระเด็นออกจากวงไปในบัดดล 


แต่แล้วในปี 1999 ทางวงก็ได้เฉลิมฉลองมิลเลนเนี่ยมด้วยการกลับมาของ Bruce Dickenson และ Adrain Smith ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไอรอนเมเด้นกลายเป็นวงที่มีกีตาร์ถึง 3 ตัวในเวลาเดียวกันด้วย และได้ออกทัวร์กันใช้ชื่อ The Ed Hunter Tour และได้ออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 12 ชื่อ Brave New World ใน ปี 2000 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และทางวงยังได้ออกอัลบั้มแสดงสดชื่อว่า Rock in Rio ในปี 2001 ซึ่งเป็นการแสดงโชว์ที่บราซิลที่มีคนดูถึง 250000 คน 


ในปี 2003 ทางวงออกอัลบั้มชุดที่ 13 Dance of Death ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเหล่าเมทัลเฮดรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กจนพวกเขาออกอัลบั้มแสดงสดของทัวร์อัลบั้มนี้โดยใช้ชื่อว่า Death on the Road ด้วย

ในปี 2005 ทางวงก็ได้ออกทัวร์เฉลิมฉลอง 30 ปี Iron Maiden และออกดีวีดีชื่อ The Early Days โดยนำเพลงในยุคแรกๆมาเล่น นอกจากนี้ทางวงยังได้ออกซิงเกิล Number of the Beast มาขายใหม่อีกด้วย และมันก็ขึ้นถึงอันดับ 3 ในชาร์ตของเกาะอังกฤษ 



นอกจากแฟนเพลงทั่วโลกจะได้ร่วมเฉลิมฉลองกับ 30 ปีไอรอนเมเด้นแล้ว เจ้าพ่อแห่งวงการเมทัลนาม Ozzy Osbourne ก็ได้ร่วมฉลองกับทางวงด้วย การ "ปาไข่" ซึ่งกลายเป็นตำนานบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ออซเฟส และเมทัลโลก โดยเหตุเกิดขึ้นในโชว์ๆหนึ่งของทางวงที่แสดงในเทศกาลออซเฟส และทันใดนั้นก็มีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งปาไข่ใส่ไอรอนเมเด้นด้วย (ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็น ลูกๆของออซซี่) และหลังจากที่ไอรอนเมเด้นแสดงเสร็จ Sharon Osbourne ภรรเมียของออซซี่ ก็ได้ออกมาด่าทอไอรอนเมเด้นต่อหน้าฝูงชน และไล่ไอรอนเมเด้นออกไปทางทัวร์ของออซเฟส สร้างความโกรธแค้น และเสียงโห่ให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก 


ในปี 2006 ทางวงก็ได้ออกอัลบั้ม A Matter of Life and Death ซึ่งมีความเป็นโปรเกซซีฟมากขึ้น แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งริฟฟ์มันๆทำให้งานชุดนี้ก็เป็นอีกชุดที่ประสบความสำเร็จ และในปัจจุบันทางวงก็กำลังทัวร์สนับสนุนอัลบั้มเต็มชุดนี้ไปเรื่อยๆ และผมก็หวังว่าวันนึงพวกเขาจะได้มาเล่นที่บ้านเราบ้าง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น